หนึ่งในความท้าทายอันยิ่งใหญ่ที่ Hans Wilsdorf ต้องเผชิญก็คือ การค้นหาวิธีเพื่อปกป้องนาฬิกาจากฝุ่นและความชื้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการอุดตันหรือเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันได้หากเล็ดรอดเข้าไปด้านในตัวเรือน ในจดหมายปี 1914 เขาได้กล่าวถึงความตั้งใจของตนเองถึงบริษัท Aegler ในเมือง Bienne ซึ่งภายหลังได้กลายเป็น Manufacture des Montres Rolex S.A. ว่า “เราจำเป็นต้องหาทางผลิตนาฬิกาข้อมือกันน้ำให้ได้”
Rolex ได้เปิดตัวนาฬิการุ่น Submarine ในปี 1922 ที่มาพร้อมกับบานพับติดตั้งอยู่ภายในตัวเรือนส่วนนอกชั้นที่สอง ซึ่งมีการเจาะยึดขอบหน้าปัดและคริสตัลด้วยสกรู เพื่อทำให้ตัวเรือนส่วนนอกสามารถกันน้ำได้ และจำเป็นต้องเปิดตัวเรือนส่วนนอกเพื่อเข้าถึงเม็ดมะยมที่ใช้ในการไขลานนาฬิกา หรือตั้งเวลา นาฬิกา Submarine นับว่าเป็นก้าวแรกในความพยายามของ Hans Wilsdorf ในการรังสรรค์ตัวเรือนนาฬิกาที่ได้รับการปิดผนึกอย่างสมบูรณ์แบบและใช้งานง่าย
ใต้พื้นผิวท้องทะเล
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนที่ได้ผลักดันให้ Rolex คิดค้นตัวเรือนนาฬิกากันน้ำ ทางแบรนด์ได้หันมาให้ความสนใจกับการออกแบบและพัฒนานาฬิกาข้อมือที่ตอบโจทย์นักดำน้ำลึกมืออาชีพใหม่ๆ นาฬิการุ่น Submariner ได้รับการเปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 1953 และเป็นนาฬิกาข้อมือสำหรับนักดำน้ำเรือนแรกที่รับประกันขีดความสามารถในการกันน้ำที่ระดับความลึก 100 เมตร (330 ฟุต) ขอบตัวเรือนแบบหมุนได้ที่มาพร้อมกับขอบหน้าปัดแบบเป็นขั้นทำให้นักดำน้ำสามารถควบคุมเวลาดำน้ำได้ ซึ่งเป็นการช่วยบริหารจัดการปริมาณก๊าซสำหรับหายใจ อีกทั้งยังมีการยกระดับความปลอดภัยให้กับตัวเรือน Oyster ด้วยเม็ดมะยมที่ถูกยึดไว้ด้วยสกรูใหม่ที่ชื่อว่าระบบ Twinlock ที่มีส่วนที่ถูกซีลไว้สองส่วน
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Submarinerในปี 1970 หลักการนี้ได้รับการพัฒนาให้ก้าวล้ำขึ้นไปอีกขั้นด้วยการเพิ่มส่วนที่ถูกปิดผนึกส่วนที่สาม นับเป็นการถือกำเนิดของเม็ดมะยมไขลาน Triplock เข็มนาฬิกาและเครื่องหมายบอกชั่วโมงได้รับการเคลือบด้วยสารเรืองแสง ช่วยให้นักดำน้ำสามารถอ่านเวลาในความมืดใต้น้ำได้ Rolex ยังเดินหน้าพัฒนาความเจริญรุดหน้าด้านเทคนิคเพื่อทำให้นาฬิการุ่น Submariner มีขีดความสามารถในการกันน้ำที่ 200 เมตร (660 ฟุต) ในปี 1954 และ 300 เมตร (1,000 ฟุต) ในปี 1989 นาฬิการุ่นที่สามารถบอกวันที่ได้เปิดตัวในปี 1969 และกันน้ำที่ความลึก 300 เมตร (1,000 ฟุุต) ในปี 1979
Rolex เป็นหนึ่งในแบรนด์แรกๆ ที่ร่วมออกเดินทางกับบุคคลมากมายที่โดดเด่นในการเดินทางและการสำรวจ ด้วยความตระหนักถึงแนวทางที่จะเป็นประโยชน์ร่วมกันสำหรับทั้งสองฝ่ายและการมองว่าโลกใบนี้เปรียบดังห้องทดลองที่มีชีวิต Hans Wilsdorf จึงให้เหล่านักสำรวจพกพานาฬิกา Oyster ไปในภารกิจด้วย Rolex ได้ขอให้นักดำน้ำมืออาชีพสวมใส่เรือนเวลาของแบรนด์ในขณะปฏิบัติภารกิจเพื่อทดสอบความน่าเชื่อถือของนาฬิกา แล้วจึงรวบรวมความประทับใจ และคำแนะนำของพวกเขาไปดำเนินการปรับปรุงด้านการยศาสตร์ หรือทางเทคนิค และกระบวนการนี้ก็ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการพัฒนาของ Rolex
หนึ่งในกลุ่มคนที่ Rolex ได้ร่วมทำการทดลองนาฬิกา Submariner ด้วยคือนักถ่ายภาพใต้น้ำ วิศวกร และนักสำรวจสัญชาติฝรั่งเศส Dimitri Rebikoff ระหว่างการทดสอบนาฬิกาเป็นเวลากว่าห้าเดือน Rebikoff ได้ออกดำน้ำ 132 ครั้งในความลึกระหว่าง 12 ถึง 60 เมตร โดยรายงานของเขาออกมาในเชิงบวกเป็นอย่างมาก “เราขอยืนยันว่านาฬิกาเรือนนี้ไม่เพียงแต่สามารถทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในสภาพแวดล้อมของการดำน้ำอันยากลำบากที่อาจทำลายวัสดุที่ใช้อยู่ได้ แต่นาฬิกาเรือนนี้ยังพิสูจน์ให้เห็นอีกด้วยว่ามันคือหนึ่งในอุปกรณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับนักดำน้ำ”
นาฬิกา
Sea-Dweller
ในระหว่างทศวรรษ 1960 มีการพัฒนาเทคนิคที่ช่วยให้สามารถดำน้ำได้ยาวนานขึ้น แม้อยู่ในระดับความลึกที่มากขึ้น หนึ่งในวิธีการใหม่ๆ เหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้นักดำน้ำสามารถทำงานกับโครงสร้างพื้นฐานใต้ทะเลได้ ตัวอย่างเช่น การด ำน้ำแบบ “Saturation” ส่วนผสมพิเศษที่ผสานแก๊สหายใจเข้ากับแก๊สฮีเลียมในปริมาณมากช่วยให้นักดำน้ำสามารถอยู่ใต้ท้องทะเลได้เป็นเวลานานหลายวันหรือหลายสัปดาห์ และหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เป็นพิษต่อร่างกายมนุษย์จากแรงดันใต้น้ำลึก ทั้งนี้ ยังเกี่ยวข้องกับการให้นักดำน้ำอยู่ในสภาพสิ่งแวดล้อมที่มีแรงดันเทียบเท่ากับแรงดันน้ำในระดับความลึกที่พวกเขาปฏิบัติภารกิจ
โดยนักดำน้ำจะต้องอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่มีการปรับแรงดัน หรือห้องปรับความดันบรรยากาศสูงเป็นระยะเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ ซึ่งจะออกไปก็ต่อเมื่อต้องดำน้ำเท่านั้น นั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องเข้าสู่กระบวนการคายแรงดันเพียงในช่วงท้ายของภารกิจ ซึ่งกระบวนการคายแรงดันอาจใช้เวลาตั้งแต่สิบกว่าชั่วโมงไปจนไปถึงหลายวัน โดยขึ้นอยู่กับเวลาที่ใช้ใต้น้ำ
Rolex ได้เป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการกับ Comex (Compagnie Maritime d’Expertises) ในปี 1971 บริษัทวิศวกรรมทางทะเลสัญชาติฝรั่งเศสที่ตั้งอยู่ที่เมืองมาร์เซย์นี้ตกลงที่จะให้นักดำน้ำของบริษัทสวมใส่นาฬิกาของ Rolex และรายงานประสิทธิภาพของนาฬิกาเป็นประจำเพื่อให้แบรนด์สามารถยกระดับความน่าเชื่อถือและระบบการทำงาน นอกจากนี้ Comex ยังได้ดำเนินการทดสอบเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่สำหรับใช้ในการปฏิบัติงานของบริษัทควบคู่ไปกับการทดลองนอกชายฝั่งอีกด้วย
หนึ่งในเทคโนโลยีเหล่านี้คือ ห้องปรับความดันบรร ยากาศสูงที่สามารถจำลองแรงดันในระดับความลึกและเป็นอันตรายต่อนักดำน้ำรวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ในปี 1988 Comex ได้ทำภารกิจสำรวจ Hydra VIII โดยมีนักดำน้ำแบบ Saturation 6 คนดำดิ่งสู่ระดับความลึก 534 เมตร (1,752 ฟุต) พร้อมกับสร้างสถิติการดำน้ำลึกระดับโลก ซึ่งยังไม่มีใครสามารถทำลายสถิติได้จนถึงทุกวันนี้ และพวกเขาทุกคนต่างก็สวมใส่นาฬิการุ่น Sea-Dweller และในอีกไม่กี่ปีต่อมา ในปี 1992 นักดำน้ำของ Comex ในโครงการทดสอบ Hydra X สามารถอยู่ในห้องปรับความดันบรรยากาศสูงที่จำลองระดับความลึกที่ 701 เมตร (2,300 ฟุต) ได้ และเขาได้สวมใส่นาฬิกา Sea-Dweller อยู่เสมอในตลอด 43 วันที่เขาทำภารกิจ
ดำดิ่งสู่จุดที่ลึกที่สุด
Rolex ยังคงท้าทายต่อแรงดันใต้น้ำอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อทำให้นาฬิกามีความสมบูรณ์แบบ และในปี 2008 แบรนด์ได้นำเสนอเรือนเวลา Rolex Deepsea ที่มีการติดตั้งระบบ Ringlock อันเป็นสถาปัตยกรรมตัวเรือนที่ได้รับการจดสิทธิบัตร ซึ่งทำใ ห้นาฬิการุ่นนี้สามารถทนทานต่อแรงดันในระดับความลึก 3,900 เมตร (12,800 ฟุต) ได้ ระบบดังกล่าวประกอบด้วยคริสตัลแซฟไฟร์ทรงโดม แหวนอัดสตีลไนโตรเจนอัลลอย และตัวเรือนด้านหลังที่ทำจากอัลลอยไทเทเนียม ขอบตัวเรือนหมุนได้ทิศทางเดียวของ Rolex Deepsea มาพร้อมกับขอบหน้าปัด Cerachrom สีดำ และแสดงเวลา 60 นาที ซึ่งจะช่วยให้นักดำน้ำสามารถควบคุมเวลาดำน้ำได้อย่างปลอดภัย
คุณสมบัติของเซรามิกที่เป็นเทคโนโลยีชั้นสูงนี้ได้ทำให้ขอบหน้าปัดมีความทนทานที่เป็นเลิศ ป้องกันรอยขีดข่วนได้อย่างแท้จริง และสีสันจะยังคงเดิมแม้เวลาผ่านไป ไม่ซีดจางจากผลกระทบของรังสีอัลตราไวโอเลต นาฬิกาสำหรับความลึกสุดขีดเรือนนี้ยังมาพร้อมกับหน้าปัดโครมาไลท์ อันเป็นนวัตกรรมสุดพิเศษที่ช่วยยกระดับความสามารถในการอ่านได้ชัดเจน โดยสารเรืองแสงที่ปล่อยแสงสีฟ้า ออกมานี้ได้ถูกนำมาใช้กับเข็มนาฬิกา เครื่องหมายบอกชั่วโมง และแคปซูลบนขอบตัวเรือน อีกทั้งระยะเวลาในการเปล่งแสงยังยาวนานกว่ามาตรฐานวัสดุเรืองแสงทั่วไปถึงสองเท่า และความเข้มของแสงที่เปล่งออกมายังมีความสม่ำเสมอมากกว่า
นาฬิกาสำหรับนักดำน้ำทุกเรือนของ Rolex ได้รับการทดสอบในระดับความลึกที่รับประกันการกันน้ำ และมีส่วนเผื่อความปลอดภัยเพิ่มเติมถึง 25 เปอร์เซ็นต์ โดยเป็นไปตามมาตรฐานนาฬิกาประเภทนี้ การทดสอบอย่างมีประสิทธิภาพเช่นนี้หมายความว่าในห้องปฏิบัติการ ภายในถังปรับความดันบรรยากาศสูงที่ได้รับการพัฒนาร่วมกันโดย Rolex และ Comex นาฬิการุ่น Rolex Deepsea (ที่รับประกันการกันน้ำได้ถึง 3,900 เมตร) จะต้องได้รับการทดสอบแรงดันที่ระดับความลึก 4,875 เมตร
Rolex Deepsea ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Rolex Deepsea Challenge นาฬิกาสำหรับนักดำน้ำรุ่นทดลองเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2012 ซึ่งได้รับการติดตั้งเข้ากับแขนกลของยานดำน้ำลึกที่นำร่องโดยนักสำรวจและนักสร้างภาพยนตร์ James Cameron เพื่อดำดิ่งลงไปสู่ร่องลึกมาเรียนา โดยเป็นจุดที่ Jacques Piccard และ Don Walsh ได้มาเยือนก่อนหน้านี้ในปี 1960 ด้วยการรับประกันการกันน้ำที่ความลึกถึง 12,000 เมตร (39,370 ฟุต) นาฬิการุ่นนี้ได้รวมเอานวัตกรรมเชิงเทคนิคในด้านการกันน้ำของแบรนด์มาไว้ด้วยกัน อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการทนแรงดันที่ระดับความลึก 15,000 เมตรในช่วงการทดสอบ และในความลึกระดับดังกล่าว วงแหวนตรงกลางของระบบ Ringlock ต้องรับแรงดันน้ำซึ่งเทียบเท่ากับน้ำหนักถึง 20 ตัน
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Rolex Deepsea